>>>>สรุปApproach , Method and Technique จาทฤษฎีของEdward Antony ,Richards and Rogers และ Harmer
Approach : สมมุติฐาน ข้อสันนิษฐาน ความเชื่อ ทฤษฎี
Method : แผนภาพโดยรวมสิ่งที่เราจะสอนตามApproach
Technique : กิจกรรมหรือขั้นตอนต่างๆที่อยู่ในวิธีสอนแต่ละแบบ
วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
Multiple Intelligences
>>>>ผู้เรียนมีความฉลาดแตกต่างกัน ซึ่งครูไม่ได้ให้ความสำคัญ
>>>>Gardner อ้างว่า มนุษย์เรามีจุดเด่นหลายตัว ซึ่งความฉลาดเหล่านี้ถูกกระตุ้นโดยเราไม่รู้ตัว แต่บางครั้งอาจจะกลายเป็นจุดด้อยก็ได้ ความฉลาดเหล่านี้มี 9 อย่างได้แก่ การใช้ภาษา , การใช้ตัวเลข ความเป็นเหตุเป็นผล , ดนตรี , การจินตนาการ , การเคลื่อนไหวร่างกายได้ดี , มนุษย์สัมพันธ์ดี , เข้าใจตนเอง , เข้าใจธรรมชาติ , เข้าใจการมีชีวิตอยู่
>>>>การเรียนรู้ทางสังคมและกระบวนการจิตวิทยาต้องเริ่มต้นจาก
-จัดการการเรียนของตนเองได้
-เห็นคุณค่าของความฉลาดของตนเอง
>>>>สำหรับครู ครูต้องเข้าใจว่าเด็กมีความฉลาดด้านใด จึงจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมความฉลาดของเด็กให้อยู่อย่างคงทน
>>>>Gardner อ้างว่า มนุษย์เรามีจุดเด่นหลายตัว ซึ่งความฉลาดเหล่านี้ถูกกระตุ้นโดยเราไม่รู้ตัว แต่บางครั้งอาจจะกลายเป็นจุดด้อยก็ได้ ความฉลาดเหล่านี้มี 9 อย่างได้แก่ การใช้ภาษา , การใช้ตัวเลข ความเป็นเหตุเป็นผล , ดนตรี , การจินตนาการ , การเคลื่อนไหวร่างกายได้ดี , มนุษย์สัมพันธ์ดี , เข้าใจตนเอง , เข้าใจธรรมชาติ , เข้าใจการมีชีวิตอยู่
>>>>การเรียนรู้ทางสังคมและกระบวนการจิตวิทยาต้องเริ่มต้นจาก
-จัดการการเรียนของตนเองได้
-เห็นคุณค่าของความฉลาดของตนเอง
>>>>สำหรับครู ครูต้องเข้าใจว่าเด็กมีความฉลาดด้านใด จึงจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมความฉลาดของเด็กให้อยู่อย่างคงทน
ป้ายกำกับ:
Multiple Intelligences
Whole Language Approach
>>>>เป็นการเรียนภาษาที่เรียนแบบทั้งหมดหรือเป็นภาพรวม เน้นให้เด็กเข้าใจโดยภาพรวม
>>>>Top-Down เด็กต้องเข้าใจภาพรวมของเนื้อเรื่องก่อนแล้วค่อยดูคำศัพท์หรือไวยากรณ์
>>>>ความผิดพลาดที่ผู้เรรียนสร้างหรือมีเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ครูอาจจะทดสอบโดยการเขียน
>>>>ทฤษฏีของVygotsky จะเกี่ยวข้องกับsocial nature of learning และ cooperative มาเกี่ยวด้วย ซึ่งหมายถึงครูและผู้เรียนมีส่วนร่วม
>>>>Top-Down เด็กต้องเข้าใจภาพรวมของเนื้อเรื่องก่อนแล้วค่อยดูคำศัพท์หรือไวยากรณ์
>>>>ความผิดพลาดที่ผู้เรรียนสร้างหรือมีเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ครูอาจจะทดสอบโดยการเขียน
>>>>ทฤษฏีของVygotsky จะเกี่ยวข้องกับsocial nature of learning และ cooperative มาเกี่ยวด้วย ซึ่งหมายถึงครูและผู้เรียนมีส่วนร่วม
ป้ายกำกับ:
Whole Language Approach
Cooperative Learning
>>>>เป็นการเรียนแบบร่วมมือ คือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตัวเอง ครูจะสอนทักษะทางสังคมและการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป้าหมายหลัก
1.กระตุ้นให้ผู้เรียนคืดเป็นกลุ่ม
2.ผู้เรียนต้องอยู่ด้วยกันสักระยะ เพื่อที่จะเรียนรู้ในการทำงานร่วมกัน
3.ความพยายามที่ได้ทำ ต้องได้รางวัลทั้งกลุ่ม ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง
4.สอนทักษะทางสังคม เพื่อให้บทสนทนาราบรื่นและลึกซึ้ง
5.การเรียนรู้ภาษาจะเกิดขึ้นเมื่อใช้ภาษาเป้าหมายในการเรียนและทำงาน
6.ถึงแม้ว่านักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม ก็ต้องรับผิดชอบงานของตัวเองด้วย
7.ความรับผิดชอบจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน
8.สมาชิกทุกคนถูกกระตุ้นให้มีความรู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบและมีส่วนร่วม
9.ครูสอนการทำงานร่วมกัน
Lersen-Freeman, D. (2000). Techniques and Principles in Language Teaching. Hong Kong : Oxford University Press.p.164-169.
ป้ายกำกับ:
Cooperative Learning
Task - Base Instruction
>>>>งานเป็นฐาน ซึ่งใช้ในขั้นProduction ผู้เรียนต้องใช้ตัวภาษาเพื่อทำงานให้สำเร็จ การประเมินชิ้นงานแบบTask Base คือจะเน้นตัวงานที่เสร็จมากกว่าการใช้ภาษาที่ถูกต้อง เน้นให้นักเรียนใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่วเพื่อให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่น
เป้าหมายหลัก
1.งานที่ให้ทำต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่างานต้องออกมาเป็นแบบไหน
2.ก่อนที่ให้ทำงานเดี่ยวจะต้องซ้อมกันทั้งหมดก่อน เพื่อให้เห็นขั้นตอนจริง
3.ครูควรแยกขั้นตอนการทำงานให้เห็นชัดเจน
4.หาวิธีให้นักเรียนมีส่วนร่วม
5.ครูใช้ภาษาอะไรก็ได้ที่จะทำให้นักเรียนสามารถเข้าใจในตัวงาน
6.ครูต้องช่วยแก้ไขเมื่อนักเรียนพูดผิด
7.การเติมเต็ม ควรให้ทำงานjig saw เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาความเข้าใจและทักษะการพูดด้วย
8.นักเรียนควรได้รับfeedbackถึงความสำเร็จการทำงานของเขา
9.นักเรียนสามารถออกแบบงานได้
Prabhu
-มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน(information gap)
-ผู้เรียนจะต้องแสดงความคิดเห็นหรือทัศนคติ
-ผู้เรียนจะต้องนำเสนอใหม่เป็นของตนเอง แต่ยังคงเป็นข้อมูลเดิม
Lersen-Freeman, D. (2000). Techniques and Principles in Language Teaching. Hong Kong : Oxford University Press.p. 149-149.
เป้าหมายหลัก
1.งานที่ให้ทำต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่างานต้องออกมาเป็นแบบไหน
2.ก่อนที่ให้ทำงานเดี่ยวจะต้องซ้อมกันทั้งหมดก่อน เพื่อให้เห็นขั้นตอนจริง
3.ครูควรแยกขั้นตอนการทำงานให้เห็นชัดเจน
4.หาวิธีให้นักเรียนมีส่วนร่วม
5.ครูใช้ภาษาอะไรก็ได้ที่จะทำให้นักเรียนสามารถเข้าใจในตัวงาน
6.ครูต้องช่วยแก้ไขเมื่อนักเรียนพูดผิด
7.การเติมเต็ม ควรให้ทำงานjig saw เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาความเข้าใจและทักษะการพูดด้วย
8.นักเรียนควรได้รับfeedbackถึงความสำเร็จการทำงานของเขา
9.นักเรียนสามารถออกแบบงานได้
Prabhu
-มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน(information gap)
-ผู้เรียนจะต้องแสดงความคิดเห็นหรือทัศนคติ
-ผู้เรียนจะต้องนำเสนอใหม่เป็นของตนเอง แต่ยังคงเป็นข้อมูลเดิม
Lersen-Freeman, D. (2000). Techniques and Principles in Language Teaching. Hong Kong : Oxford University Press.p. 149-149.
ป้ายกำกับ:
Task - Base Instruction
Content-Base Instruction
>>>>เป็นวิธีการที่ครูจะสอนในแต่ละเนื้อให้ ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสอน
เป้าหมายหลัก
1.เนื้อหาวิชาอื่นจะถูกใช้เพื่อใช้ในการเรียนรู้ภาษาด้วย
2.เน้นการใช้ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
3.เมื่อผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาที่สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมก็จะเป็นตัวกระตุ้นได้
4.ครูสอนแบบscaffold(จากง่ายไปยาก) โดยให้นักเรียนสร้างประโยคแล้วครูจึง่วยเติมเต็ม
5.ภาษาจะรียนได้ดีก็ต่อเมื่อใช้เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างนักเรียน
6.คำศัพท์จะง่ายขึ้นเพราะมีการใช้ในบทความ
7.ถ้าผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องจริง เขาต้องมีการช่วยเหลือของตัวภาษา
8.ผู้เรียนเรียนรู้ภาษาและเนื้อหาโดยใช้สื่อของจริง
9.ความสามารถในการอ่าน อภิปราย และเขียน
Lersen-Freeman, D. (2000). Techniques and Principles in Language Teaching. Hong Kong : Oxford University Press.p. 137-141.
เป้าหมายหลัก
1.เนื้อหาวิชาอื่นจะถูกใช้เพื่อใช้ในการเรียนรู้ภาษาด้วย
2.เน้นการใช้ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
3.เมื่อผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาที่สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมก็จะเป็นตัวกระตุ้นได้
4.ครูสอนแบบscaffold(จากง่ายไปยาก) โดยให้นักเรียนสร้างประโยคแล้วครูจึง่วยเติมเต็ม
5.ภาษาจะรียนได้ดีก็ต่อเมื่อใช้เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างนักเรียน
6.คำศัพท์จะง่ายขึ้นเพราะมีการใช้ในบทความ
7.ถ้าผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องจริง เขาต้องมีการช่วยเหลือของตัวภาษา
8.ผู้เรียนเรียนรู้ภาษาและเนื้อหาโดยใช้สื่อของจริง
9.ความสามารถในการอ่าน อภิปราย และเขียน
Lersen-Freeman, D. (2000). Techniques and Principles in Language Teaching. Hong Kong : Oxford University Press.p. 137-141.
ป้ายกำกับ:
Content-Base Instruction
วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
Communicative Language Teaching
>>>>เป็นหัวใจสำคัญในการสอนปัจจุบัน
จุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ภาษาเป้าหมายในการสื่อสาร
เน้นการเรียนรู้โครงสร้างทางไวยากรณ์และคำศัพท์
Information Gap
>>>การที่จะได้ข้อมูบมาต้องใช้คำศัพท์ ไวยากรณ์ กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อให้ข้อมูลสมบูรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานคู่ เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน หรือแสดงบทบาทสมมุติ
Jigsaw Activities
>>>ผู้เรียนแต่ละคนแบ่งกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีข้อมูลที่จะเติมเต็ม มีการใช้ภาษาโครงสร้างที่สอนไป ดูตามความเหมาะสมของห้อง
Accuracy and Fluency Activities
>>>Accuracy
-ใช้ภาษาในห้องเรียนที่เรียนมาเท่านั้น
-เน้นเรื่องของการสร้างตัวอย่างของประโยคที่ถูกต้องเท่านั้น
-ฝึกภาษาที่ไม่อยู่ในบริบทใดๆทั้งสิ้น
-ฝึกภาษาตัวอย่างที่คัดเลือกมาแล้ว
-สื่อสารไม่ต้องมีความหมาย
-ควบคุมตัวเลือกที่นักเรียนใช้ฝึก
>>>Fluency
-เน้นการใช้ภาษาแบบจริงๆ
-เน้นความสามารถในการสื่อสารให้สำเร็จ
-เน้นใช้ภาษาที่มีความหมาย
-เน้นใช้กลยุทธ์ในการสื่อสาร
-เน้นคิดตัวภาษาที่คาดไม่ถึง
-เน้นเชื่อมโยงภาษากับบริบทจริง
Communicative
competence(ใช้สื่อสารความรู้
ความเข้าใจ)
1.มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างประโยค
2.มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ภาษาทางสังคม
3..มีความรู้ความเข้าใจในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของประโยคต่างๆ
4..มีความรู้ความเข้าใจในการใช้กลยุทธ์ในการสื่อสาร
ต้องมีลักษณะดังนี้
1.รู้ว่าจะต้องใช้ภาษาในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
2.รู้ว่าจะต้องใช้ในสถาการณ์แบบใด
3.เข้าใจเรื่องของบทความที่แตกต่างกันออกไป
4.เข้าใจเรื่องที่จะสื่อสารในขณะที่เรารู้อย่างจำกัด โดยใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไป
ลักษณะพิเศษของCLT
1.ให้บรรลุเป้าหมายของหัวใจสำคัญทั้งสี่อย่าง
2.ความสัมพันธ์ของform กับ function
3.เน้นการใช้ภาษาได้อย่าถูกต้องและคล่องแคล่ว
4.นึกถึงบริบทถึงสถานการณ์จริงของผู้เรียน : สื่อของจริง
5.ผู้เรียนรับผิดชอบงานต่างๆด้วยตัวเอง
ต้องเข้าใจและพัฒนากลยุทธ์ต่างๆ
6.ครูเป็นแค่ผู้ให้ความสะดวกและให้คำแนะนำ
7.บทบาทนักเรียนเป็นผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนอย่างกระตือรือร้น
เป้าหมายหลัก
1.ให้เกิดการสื่อสารจริงๆให้ได้
2.เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทดสอบ
ทดลองสิ่งที่ผู้เรียนรู้
3.ต้องอดทนกับความผิดพลาดของผู้เรียน
เพราะว่าการที่ผู้เรียนผิดพลาด
แสดงว่าเขากำลังสร้างcommunicative
competence
4.ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว
5.เชื่อมโยงทักษาการพูด
อ่าน ฟัง ให้สัมพันธ์กัน
6.ให้ผู้เรียนสรุปกฏเกณฑ์เอง
เรียนแบบอุปนัย
ขั้นตอนการสอน :
PPP approach
Warm up ==> Presentation ==> Practice ==> Production ==> Wrap up
Presentation : นำเสนอเนื้อหา
Practice : ให้นักเรียนฝึก
โดยครูต้องควบคุมอยู่
Production : ให้นักเรียนฝึกแบบอิสระ
เน้นการนำเนื้อหาที่เรียนใช้ในสถานการณ์จริง ควรออกมาเป็นชิ้นงาน
Mechanical practice
>>>ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเข้าใจตัวภาษาก็ได้ เป็นการฝึกแบบrepetition drills
คือการฝึกซ้ำๆ หรือsubstitution drills
คือการฝึกแทนคำบางคำ
Meaningful practice
>>>เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกตัวภาษามาใช้เอง แบบฝึกหัดการเติมคำหรือเลือกคำ
Communicative
practice
>>>เปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกใช้ภาษาในบริบทที่ถูกต้อง เข้าในสถานการณ์จริง
เทคนิคการสอน
1.ใช้สื่อของจริง
2.จัดลำดับของประโยคใหม่
3.ใช้การเล่นเกม : ช่องว่างของข้อมูล
4.ใช้แถบของเรื่องราว
แล้วแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
จากนั้นนำมาเรียงเหตุการณ์
5.การแสดงบทบาทสมมุติ : ครูบอกบท , ครูบอกสถานการณ์
ผู้เรียนคิดบทเอง
Information Gap
>>>การที่จะได้ข้อมูบมาต้องใช้คำศัพท์ ไวยากรณ์ กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อให้ข้อมูลสมบูรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานคู่ เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน หรือแสดงบทบาทสมมุติ
Jigsaw Activities
>>>ผู้เรียนแต่ละคนแบ่งกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีข้อมูลที่จะเติมเต็ม มีการใช้ภาษาโครงสร้างที่สอนไป ดูตามความเหมาะสมของห้อง
Accuracy and Fluency Activities
>>>Accuracy
-ใช้ภาษาในห้องเรียนที่เรียนมาเท่านั้น
-เน้นเรื่องของการสร้างตัวอย่างของประโยคที่ถูกต้องเท่านั้น
-ฝึกภาษาที่ไม่อยู่ในบริบทใดๆทั้งสิ้น
-ฝึกภาษาตัวอย่างที่คัดเลือกมาแล้ว
-สื่อสารไม่ต้องมีความหมาย
-ควบคุมตัวเลือกที่นักเรียนใช้ฝึก
>>>Fluency
-เน้นการใช้ภาษาแบบจริงๆ
-เน้นความสามารถในการสื่อสารให้สำเร็จ
-เน้นใช้ภาษาที่มีความหมาย
-เน้นใช้กลยุทธ์ในการสื่อสาร
-เน้นคิดตัวภาษาที่คาดไม่ถึง
-เน้นเชื่อมโยงภาษากับบริบทจริง
ป้ายกำกับ:
Communicative Language Teaching